วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อะไรคือสลิ่ม

อะไรคือสลิ่ม? ว่าด้วยที่มา บริบทความหมาย และคุณลักษณะเฉพาะ

Mon, 2011-11-21 00:35

Faris Yothasamuth

ซาหริ่ม, ซ่าหริ่ม น. ชื่อขนมอย่างหนึ่ง ทําด้วยแป้งถั่วเขียว ลักษณะคล้ายลอดช่อง แต่ตัวเล็กและยาวกว่า กินกับนํ้ากะทิผสมนํ้าเชื่อม.

(พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒)

นี่อาจจะเป็นอีกคำหนึ่งที่มีผู้สะกดผิดมากคำหนึ่ง ซาหริ่ม หรือที่เรามักเขียนกันว่า "สลิ่ม" ตามความหมายดั้งเดิมหมายถึงขนมไทยชนิดหนึ่ง แต่ความหมายของคำในภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ การเปลี่ยนแปลงในลักษณะหนึ่งก็คือการย้ายที่ของแวดวงความหมาย ทำให้เกิดการใช้คำนั้นในอีกความหมายหนึ่งที่ไม่ตรงกับความหมายประจำคำ นั่นคือลักษณะของสำนวนนั่นเอง ซึ่งสลิ่มเองก็ได้กลายมาเป็นคำศัพท์เฉพาะ (หรืออาจเรียกว่าเป็นสแลง) ทางการเมืองไทยร่วมสมัยด้วยความเป็นมาที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

ที่มาและบริบทความหมาย

ช่วงต้นปี ๒๕๕๓ มีการชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ในขณะ นั้นยุบสภา ข้อเรียกร้องดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านคนเสื้อแดงอย่างหลากหลาย และหนึ่งในนั้นคือการเกิดขึ้นของกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ(ไม่แบ่งสี) โดยการนำของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมาขนานนามตนเองว่าเป็น "กลุ่มเสื้อหลากสี"

การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อหลากสีได้สร้างปฎิกิริยาโต้กลับจากฝ่ายเสื้อ แดงในทางเย้ยหยัน ว่าเป็นแค่การเปลี่ยนชื่อ/เปลี่ยนสีเสื้อ ของคนเสื้อเหลืองเก่า ที่ไม่สามารถใช้เสื้อเหลืองในการเคลื่อนไหวอย่างสะดวกใจได้ต่อไป เนื่องจากการเสื่อมความนิยมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกอบ กับความกระดากที่กลุ่มพันธมิตรได้กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีสำคัญๆ (แม้ว่าจะรอดพ้นการดำเนินคดีได้อย่างปาฎิหาริย์มาโดยตลอด) ในทัศนะของคนเสื้อแดงคนเสื้อหลากสีก็คือเสื้อเหลืองจำแลงนั่นเอง เพราะจริงๆ แล้วทั้งความคิด พื้นฐานอุดมการณ์ การกระทำ และการแสดงออกของเสื้อหลากสีก็เหมือนกับเสื้อเหลืองไม่ต่างกับฝาแฝด กล่าวคือ ทั้งสองเสื้อล้วนอยู่ตรงข้ามพรรคเพื่อไทย/คนเสื้อแดง และแสดงออกถึงการต่อต้านทักษิณอย่างมากล้น รวมไปถึงมีคติร่วมที่ไม่ค่อยเชื่อประชาธิปไตยในระบบ เป็นพวกฝักใฝ่ระบอบกษัตริย์ และมักเรียกร้องหารัฐประหาร

การดูแคลนคนเสื้อหลากสีของคนเสื้อแดงได้ถ่ายทอดออกมาผ่าน "สมญานาม" ที่ใช้เรียกเสื้อหลากสี คำๆนั้นก็คือคำว่า "สลิ่ม" ด้วยเหตุผลว่าสลิ่ม(ซาหริ่ม) เป็นขนมที่มีเส้นหลากหลายสีสัน เป็นการล้อไปกับสภาพเสื้อที่หลากหลายสีของกลุ่มเสื้อหลากสีนั่นเอง กล่าวได้ว่ากายภาพด้านสีของขนมสลิ่ม ได้ถูกถ่ายความหมายมาใช้กับคนเสื้อหลากสีเพื่อสื่อถึงสภาพดังกล่าว ผู้เขียนพบเห็นคำนี้ผ่านเฟซบุ๊คของเพื่อนในช่วงเดือนเมษา ๕๓ แต่ก็ไม่ทราบต้นตอว่าใครเป็นคนคิดคำนี้คนแรก ในที่นี้มีความน่าสนใจว่าถ้าจะสื่อถึงสภาพหลากสี ทำไมไม่ใช้คำที่เรามักใช้กันเช่น "สายรุ้ง" หรือจะเป็นด้วยว่ามันฟังดูหน่อมแน้มน่ารักเกินไป โดยถ้ามองจากสายตาของนักภาษาศาสตร์ ผู้เขียนเสนอว่า "สลิ่ม" เป็นคำที่มีทั้งเสียงเสียดแทรกคือเสียง /ส/ และลงท้ายด้วยเสียงวรรณยุกต์เอกซึ่งเป็นเสียงต่ำ ทำให้มีเสียงที่หนักแน่นเหมาะจะใช้ในการด่าหรือเหยียดหยาม เช่นเดียวกับคำว่า "สัตว์" ที่เรามักด่ากันว่า "ไอ้สัตว์" นั่นเอง

แม้ว่าในเบื้องแรกสลิ่มจะถูกใช้ขนามนามให้คนเสื้อหลากสีเป็นการเฉพาะ แต่ในที่สุดแล้วคำๆนี้ก็ได้กลายเป็นสแลงทางการเมืองที่แพร่หลายมากคำหนึ่ง (อย่างน้อยก็ในหมู่คนเสื้อแดง) สลิ่มได้ถูกนำไปใช้ในบริบทความหมายที่กว้างขึ้น จากเดิมที่ใช้เฉพาะกลุ่มการเมืองของคนเสื้อหลากสี ไปสู่การใช้กับใครก็ตามที่มีพฤติกรรมร่วมที่เข้าข่ายเดียวกับคนเสื้อหลากสี เพราะดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าคนเสื้อหลากสีก็มีรากเดียวกับคนเสื้อเหลือง เก่า ดังนั้นแล้วหากพิจารณาตัวเล่นในการเมืองไทย ก็จะเห็นได้ว่าประกอบไปด้วยฝั่งแดงและฝั่งเหลืองอยู่นั่นเอง เราอาจแยกผู้เล่นออกได้เป็นภาคพรรคการเมืองและภาคประชาชน ซึ่งฝั่งแดงจะประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งจะประกอบไปด้วยพรรคประชาธิปัตย์และสลิ่มนั่นเอง ตามบริบทความหมายที่ใช้กันในปัจจุบัน สลิ่มย่อมจะหมายถึงใครก็ตามที่มีจุดยืนทางการเมืองในแบบหนึ่ง(ที่จะขออธิบาย ในหัวข้อต่อไป) ไม่ว่าคนๆนั้นจะให้คำจำกัดความตัวเองว่าเป็นพันธมิตรฯ เป็นเสื้อหลากสี หรือแม้แต่เป็นกลางก็ตาม

คุณลักษณะเฉพาะ

จากที่มาข้างต้นประกอบกับที่ผู้เขียนได้สังเกตการแสดงออกทางการเมืองของ คนกลุ่มหนึ่งมาเป็นระยะเวลาพอสมควร ผู้เขียนอยากจะเสนอลักษณะเฉพาะ (Characteristic) ของ "สลิ่ม" ว่ามีดังนี้

๑.มีความเกลียดชังทักษิณเป็นล้นพ้น พันธมิตรฯซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสลิ่มได้ถือกำเนิดในปี ๒๕๔๘ เพื่อไล่นายกทักษิณในขณะนั้น และได้ดำเนินการต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน เมื่อผนวกกับกระบวนการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ก็ทำให้เกิด "ผีทักษิณ" ที่หลอกหลอนสังคมไทยมาโดยตลอด ทำให้สลิ่มจะคิดว่าทักษิณคือต้นตอแห่งความเลวร้ายทุกประการของการเมืองไทย เราจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนจากเว็บบอร์ดอันเป็นที่พักพิงของสลิ่มทั้งหลาย ที่ไม่ว่าจะเกิดประเด็นทางการเมืองอะไร ชื่อของทักษิณก็มักจะถูกนำเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ (แม้ว่าบางกรณีทักษิณจะไม่ได้เกี่ยวข้องเลยก็ตาม) รวมถึงการสร้างวาทกรรมว่าทักษิณใช้อำนาจเงินเข้าไปซื้อทุกอย่าง (จนเสื้อแดงเอาไปล้อเลียนในลักษณะขบขันเสมอๆ เช่นมีเพจในเฟสบุ๊คชื่อ "มั่นใจว่าทักษิณสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ได้") ความเกลียดทักษิณนี้ทำให้สลิ่มรังเกียจทุกสิ่งที่มีความเกี่ยวพันกับทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย นักการเมืองในเครือข่ายทักษิณ ญาติทักษิณ ประชาชนที่ชอบทักษิณ ฯลฯ

๒.ฝักใฝ่ลัทธิกษัตริย์นิยม เป็นเรื่องน่าประหลาด แต่คุณลักษณะในข้อ ๑ และข้อ ๒ นี้มักจะมาด้วยกันเป็นเงาตามตัว นั่นอาจเป็นผลพวงจากการสร้างวาทกรรมของกลุ่มพันธมิตร ที่กล่าวหาว่าทักษิณล่วงละเมิดในหลวง-แดงล้มเจ้า ลัทธิกษัตริย์นิยม หรือ Royalism เป็นแนวคิดที่เชื่อมั่นในตัว/สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสุดโต่ง คนที่เป็น royalism มักจะโน้มเอียงในทางที่ไม่เชื่อมั่นระบอบประชาธิปไตย มีการเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง (เช่นมาตรา ๗) จนบางคนอาจเสนอให้ประเทศไทยกลับไปใช้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยซ้ำ อาการของ royalism นี้มักแสดงออกด้วยการ"ดึง"เอาสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเมืองในแทบ ทุกเรื่อง (ดูรูปข้างล่างประกอบ) และมักใช้สถาบันเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนความคิดของตน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือวาทะประวัติศาสตร์อันลือลั่นของอ๊อฟ พงศ์พัฒน์ (ที่บางคนขนานนามว่าสลิ่มตัวพ่อ) ที่ว่า "ไม่รักพ่อก็ออกไปจากบ้านของพ่อซะ"

Salim 1

๓.โหยหาทหาร อาจเป็นเพราะนับแต่ ๑๙ ก.ย. ๔๙ สถาบันทหารได้แสดงจุดยืนที่"ไม่เข้าข้าง"รัฐบาลพลเรือนจากฝ่ายทักษิณมาโดย ตลอด ทำให้ทหารกลายเป็นพระเอกในใจสลิ่มไปโดยปริยาย สลิ่มจึงพยายามที่จะเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหารซ้ำแ่ล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่สมัยการชุมนุมของพันธมิตรในทำเนียบ มาจนถึงช่วงอุทกภัยในปัจจุบันนี้ (ดูรูปด้านล่างประกอบ) นั่นอาจเป็นเพราะสลิ่มมีความคิดง่ายๆ ว่า แค่กำจัดทักษิณและพลพรรคนักการเมืองของเขาออกไปได้ทุกอย่างก็จะจบ โดยที่ก็ลืมคิดไปว่ารัฐประหารที่ผ่านมาก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรแม้แต่นิด เดียว

Salim 2

๔.ไม่เชื่อมั่นประชาธิปไตยในระบบ การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยครั้งหลังๆที่ผ่านมาจบลงด้วยชัยชนะของพรรค ในเครือข่ายเก่าของทักษิณเสมอ นั่นอาจทำให้สลิ่มหมดหวังหรือถึงขั้นชิงชัยประชาธิปไตยในระบบ เพราะถ้าเล่นกันตามเกมแล้วความต้องการและรสนิยมทางการเมืองของพวกเขาไม่อาจ กำเสียงส่วนมาก สลิ่มจำนวนมากจึงหันไปหาวิธีการพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของกษัตริย์และกองทัพดังที่ได้กล่าวมาแล้ว หรืออีกวิธีหนึ่งก็ืคือการแก้ไขกติกาให้เสียงของประชาชนมีความสำคัญน้อยลง เช่น ข้อเสนอ 70/30 ของพันธมิตร หรือเสนอให้คนจบปริญญาตรีขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีสิทธิเลือกตั้ง (ดูรูปด้านล่างประกอบ) พวกเขาคงจะคิดว่ายิ่งลดทอนความเป็นประชาธิปไตยให้ได้มากเท่าไหร่ ความต้องการทางการเมืองของตนก็คงจะสมหวังได้ง่ายขึ้น

Salim article 3

๕.ขาดเหตุผลและความรู้ นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้สลิ่มถูกปรามาสจากเสื้อแดงมาโดยตลอด เนื่องจากสลิ่มมักขาดเหตุผลที่ดีในการแสดงออก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่เคยยกไปในข้อที่ ๑ ก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สลิ่มก็มักใช้เหตุผลว่า "ทักษิณซื้อ...ไปแล้ว" หรือในช่วงน้ำท่วมนี้เราก็จะเห็นกันได้อย่างดาดดื่นกับการแสดงออกทางการ เมืองที่แสนจะน่าตลกขบขันปนหดหู่ เช่น ด่ายิ่งลักษณ์ว่าโง่ โดยที่คนด่าก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาแสดงได้ว่ายิ่งลักษณ์โง่อย่างไร เธอทำงานผิดพลาดอย่างไร หรือเหน็บแนมในเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เช่นเรื่องรองเท้าลุยน้ำของนายก เรื่องท่าทาง ไปจนถึงเรื่องการจับมือกับโอบามา (ซึ่งบางอย่างที่ยกมาก็เป็นเรื่องเท็จ) นอกจากนั้นแล้วสลิ่มยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีความรู้พื้นฐานทางการ เมือง-สังคม-ประวัติศาสตร์ที่ดีพอ ทำให้บางครั้งหาข้อสนับสนุนความคิดของพวกเขาเป็นไปอย่างลักลั่น ขัดแย้งในตัวเองอย่างน่าขัน เช่น กลุ่มพันธมิตรใช้เหตุการณ์ ๖ ตุลามาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของตน ทั้งที่สิ่งที่พันธมิตรกระทำก็เป็นสิ่งเดียวกันที่ฆ่านักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลา หรือในกรณีข้อเสนอเรื่องสิทธิเลือกตั้งกับวุฒิปริญญาตรีก็แสดงให้เห็นว่าคน เสนอไม่ได้มีความรู้เกี่ยวทางสังคมและหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ดี พอแต่อย่างใด (กรุณาอ่าน http://www.prachatai.com/journal/2011/11/37879)

๖.มีความหลงผิดว่าตนเองดีเลิศและสูงส่งกว่าคนอื่น ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุอันใด ทำให้สลิ่มที่พบเจอมักจะเป็นชนชั้นกลางไปถึงสูงที่มีการศึกษา ส่วนหนึ่งอาจเป็นคนเมืองหรือคนชนบทที่สมาทานความเป็นคนเมืองไว้พอสมควร ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าสลิ่มจะต้องชิงชังทักษิณอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเมื่อภาพของคนที่ชื่นชอบทักษิณส่วนใหญ่เป็นคนชนบท-คนชั้นล่าง ทำให้สลิ่มนำภาพรวมดังกล่าวมาเปรียบเทียบ และยกสถานะตนเองในแง่ของชนชั้นและการศึกษาว่าเหนือกว่าอีกฝ่าย การยกตนนี้ลุกลามไปจนถึงการแสดงออกทางการเมือง สลิ่มจะคิดไปว่าความคิดทางการเมืองในแบบของตนนั้นดีเลิศและสูงส่งกว่าของคน อื่นโดยเฉพาะเสื้อแดง นั่นเป็นที่มาของอาการ "ตีอกชกหัว" ของสลิ่มทั้งหลายในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งพรรคเพื่อไทยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ สลิ่มทั้งหลายไม่รีรอที่จะ "ขึ้นธรรมาสน์" ด่ากราดสั่งสอนคนที่เลือกเพื่อไทยว่่าโง่-ไม่มีการศึกษา-ไม่มีวิจารณญาณ-ถูก ซื้อเสียง ขณะเดียวกันก็ชูหางตนเองว่าตนเองนั้นเหนือกว่าพวกควายแดง เพียงแต่มีจำนวนน้อยกว่า (นำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยที่ได้ยกไปข้างต้น)

ความหลงตนประการนี้ทำให้ัในการแสดงออกทางการเมืองหลายครั้งสลิ่มละเลยที่ จะหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดตน(ย้อนกลับไปอ่านข้อ๕) เพราะมีความหลงว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว ซึ่งเมื่อพิจารณาความไร้เหตุผลและการขาดความรู้ที่สลิ่มแสดงออก มันก็ยิ่งชวนขบขันในความหลงตัวเองของสลิ่ม ดังที่สหายท่านหนึ่งได้เขียนเสียดสีไว้ว่า สลิ่ม (SLIM) นั้นย่อมาจาก Special League of Intellectual and Morality คือพวกที่คิดไปเองว่าตนเองมีมาตรฐานปัญญาและศีลธรรมที่เหนือกว่าชาวบ้าน แต่ความเป็นจริงก็ไม่ได้แสดงให้เราเห็นเช่นนั้นแต่อย่างใด

ต้นตอของความเป็นสลิ่ม

เราจะเห็นว่าคุณลักษณะของสลิ่มที่ยกมานั้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ ออก อาการที่ ๑ ก่อให้เกิดอาการที่ ๒ อาการที่ ๓ ก่อให้เกิดอาการที่ ๔ อาการที่ ๕ เป็นปัจจัยของอาการที่ ๑...

อย่างไรก็ดีหลังจากที่วิเคราะห์ได้ระยะหนึ่งผู้เขียนก็พอจะสรุปได้ว่า ความเป็นสลิ่มนี้มีมูลเหตุพื้นฐานมาจากสิ่งหนึ่ง นั่นคือ Ignorance (ผู้เขียนเคยใช้คำภาษาไทยว่า "ความโง่เขลา" แต่เมื่อนำคำนี้ไปใช้ในการถกเถียงในเว็บบอร์ดชื่อดังแห่งหนึ่งปรากฏว่าวงแตก ทันที ทำใ้ห้คิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะใช้คำทับศัพท์โดยไม่แปล)

ในวิกิพีเดียอธิบายว่า Ignorance หมายถึง a state of being uninformed (lack of knowledge) หรือสภาวะของความไม่รู้/การขาดความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง Ignorance นี้ต่างจากความโง่เง่า (Stupidity) เพราะความโง่เง่าแสดงถึงศักยภาพทางสมองที่ต่ำ แต่คนที่มี Ignorance นั้นอาจจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องก็ได้ (เราจึงเห็นสลิ่มเป็นได้ทั้งหมอ วิศวกร ทนาย อาจารย์มหาวิทยาลัย) แต่ Ignorance เป็นการไม่รู้เพราะเลือกที่จะไม่รู้ เลือกที่จะไม่รู้เพราะอคติหรือบางสิ่งกำลังบังตา ทำให้คนที่มี Ignorance นั้นขาดเหตุผลและเกิดความคิดที่ผิดๆไปหมด(เช่นเดียวกับสลิ่ม) ในที่นี้สมมติฐานของผู้เขียนก็คือ ความเกลียดชังทักษิณและการหมกมุ่นในลัทธิกษัตริย์นิยมได้กลายเป็นคติที่มา บดบังสติปัญญาของคนจำนวนหนึ่ง ทำให้เกิด Ignorance และเมื่อเกิด Ignorance ก็เป็นตัวก่ออาการที่ได้กล่าวถึงแล้วข้างต้นในลักษณะนี้

  • มี Ignorance ทำให้ไม่เข้าใจประชาธิปไตย
  • มี Ignorance ทำให้ไม่เห็นข้อเสียของรัฐประหาร
  • มี Ignorance ทำให้ละเลยข้อเท็จจริง และบริบทประวัติศาสตร์
  • มี Ignorance ทำให้ขาดเหตุผล
  • มี Ignorance ทำให้คิดว่าตนเหนือคนอื่น
  • มี Ignorance ทำให้ความเกลียดชังทักษิณยิ่งเข้มข้นขึ้นโดยไม่ตรวจสอบ
    ฯลฯ (สามารถสรุปเป็นแผนผังได้ดังนี้)

Salim article 4

ถึงที่สุดแ่ล้วผู้เขียนเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ตรงข้ามฝ่ายเสื้อแดงจะ เป็นสลิ่ม ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เกลียดทักษิณจะเป็นสลิ่ม แต่เป็น Ignorance และอาการข้างเคียงนั้นเองที่ทำให้ใครคนหนึ่งกลายเป็นสลิ่ม

หากท่านเกลียดทักษิณ แต่ท่านมีสติพอจะเข้าใจว่าปัญหาของการเมืองไทยไม่ได้เกิดจากทักษิณคนเดียว

ท่านไม่ใช่สลิ่ม!

หากท่านอยู่ตรงข้ามกับเสื้อแดง แต่ท่านเห็นว่าทหารไม่ควรก้าวก่ายการเมือง

ท่านไม่ใช่สลิ่ม!

หากท่านฝักใฝ่สถาบันกษัตริย์ แต่ท่านเห็นว่าอำนาจของกษัตริย์ก็ควรอยู่ในครรลองของประชาธิปไตย

ท่านไม่ใช่สลิ่ม!

หากท่านด่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ด่าอย่างมีเหตุผลและมีข้อมูลที่ถูกต้อง

ท่านก็ไม่ใช่สลิ่ม!

ดังนั้นถึงตรงนี้ผู้เขียนอยากฝากคำถามไปถึงคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ รัฐบาล/เสื้อแดงว่า ท่านมีลักษณะอย่างที่กล่าวมาหรือไม่ ท่านได้ตรวจสอบตัวท่านเองบ้างหรือเปล่า และท่านมีความคิดที่จะกำจัด Ignorance ของท่านทิ้งไปบ้างหรือไม่ เพราะถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังขนานนามและหยามหยันท่านอยู่นั้น มันก็ล้วนเกิดจากตัวท่านเองทั้งสิ้น ในอดีตโคลงโลกนิติบอกเราไว้ว่า

สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน

กินกัดเนื้อเหล็กจน กร่อนขร้ำ

บาปเกิดแก่ตนคน เป็นบาป

บาปย่อมทำโทษซ้ำ ใส่ผู้บาปเอง

แต่นาทีนี้เราคงต้องเปลี่ยนกันใหม่แล้วล่ะว่า "สลิ่มเกิดแต่เนื้อในตน"

ที่มา: เฟซบุ๊ก Faris PHar Yothasamuth

ใบตองแห้ง' ออนไลน์: คำท้าทายถึงชนชั้นกลาง

Wed, 2011-11-23 23:03

ใบตองแห้ง
23 พ.ย.54

เงื้อ ค้างกันไปอย่างน่าเสียดายทั้งเสื้อแดงเสื้อเหลืองและสลิ่ม ที่เตรียมทำสงครามหนุน-ต้าน พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ หลังจากทักกี้ร่อนสารจบกระแส ไม่ขอรับอภัยโทษ

เสียดาย ทักษิณไม่น่าใจเร็วด่วนตัดไฟ น่ารอวัดใจม็อบพันธมิตรวันจันทร์เสียก่อน ว่าจะมีคนมากี่มากน้อย น่าจะวัดกระแสไปถึงวันเสาร์ ก่อนฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ค่อยประกาศ ไม่ขอรับอภัยโทษทำให้พรรคแมลงสาบไปไม่เป็น กระแสช็อต ไฟตกวูบ จอดับ

แกน นำพันธมิตรคงทั้งเสียดายและทั้งโล่งอก ที่เสียดายคือพันธมิตรทุกวันนี้เหมือนปลากระดี่จมปลัก อ้าปากผงาบๆ รอน้ำใหม่ไหลมาชุบชีวิต พรฎ.อภัยโทษเปรียบเหมือน ษิณเจริญเชิญแขก ที่อาจช่วยให้ได้เงินบริจาคต่อค่าเช่าช่องสัญญาณ แต่ขณะเดียวกันก็โล่งอก เพราะกลัวอยู่เหมือนกันว่า ขนาดถอยมานัดชุมนุมที่ถนนท่าพระอาทิตย์ (ไม่ยักยึดราชดำเนิน) จะเหลือที่ว่างให้เตะตะกร้อเป็นร้อยวง ถ้าเรียกคนไม่ได้ดังคำคุย สถานภาพที่เป็นเสือกระดาษอยู่แล้วก็จะกลายเป็นเสือกระบากเข้าไปใหญ่

โถ ดูอย่างหมอตุลย์นัดชุมนุมที่สวนลุมเมื่อวันศุกร์สิครับ มีคนไปมากกว่าปกติตั้ง 10 เท่า คือจากปกติราว 100 คน เพิ่มเป็น 1,000 คน คริคริ

เปล่า ไม่ได้เยาะเย้ยหมอตุลย์ เพราะยังไงผมก็ยังนับถือหมอตุลย์เป็นส่วนตัว การที่หมอตุลย์นัดชุมนุมครั้งไรมีคนไปแค่หลักร้อยเนี่ย แสดงว่าหมอตุลย์แกบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครหนุนหลัง ไม่มีม็อบจัดตั้ง ไม่มีตังค์จ้างใคร

แต่ การชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่แค่หมอตุลย์ ได้ข่าวว่ามีตั้ง 32 องค์กร รวมเหล่าดาวกระจุยที่ว่างงานเหงาปากมานาน อาทิเช่น ประสาร มฤคพิทักษ์, วสันต์ สิทธิเขตต์, พล.ท.นันทเดช เมฆสวรรค์, นิติธร ล้ำเหลือ, สุริยันต์ ทองหนูเอียด ฯลฯ และ อ.แก้วสรร อติโพธิ ที่เคารพรักของผมอีกคน สมทบกับ สว.ลากตั้งอย่าง สมชาย แสวงการ, พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม

ขนาดนั้นยังมีมิตรรักแฟนเพลงบางตา ไม่ยักสามารถเชิญแขกเท่าไหร่เลย เห็นมีแค่พวก เก่งแต่นิ้วคือมีนิ้วไว้กด like ทาง เฟซบุค โลกยุคโซเชียลเนตเวิร์คได้สร้างคนรุ่นใหม่ ที่แย่เสียกว่า เก่งแต่ปากเพราะเก่งแต่ปากอย่างน้อยก็ยังกล้าเผยตัว แต่พวกเก่งแต่นิ้ว มีนิ้วไว้กด like เป็นแสนๆ ตัวจริงหดหัว เอาเข้าจริงสังคมออนไลน์แบบไทยๆ ก็เป็นแค่วงนินทาด่าคนลับหลัง อย่าหวังว่าจะเป็นพลังสร้างสรรค์แบบ การปฏิวัติดอกมะลิในโลกอาหรับ

ผม กล้าท้าเลยว่าต่อให้ทักษิณตัวเป็นๆ กลับเมืองไทยมานั่งหัวโต๊ะประชุม ครม. ก็ไม่มีทางเกิดม็อบพันธมิตรเรือนแสนที่สยามสแควร์ เพราะพลังของชนชั้นกลาง (ทางวัฒนธรรม ตามคำกล่าวของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล) กลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว เป็นได้แค่อีแอบในเฟซบุค หมกมุ่นอยู่กับอคติและความเกลียดชัง ไร้ทิศทาง มองไม่เห็นทางออก ขังตัวเองอยู่ในกรงแคบๆ กลัวน้ำเสียจนบางครั้งก็กัดกันเอง

พลังแห่งการทำลาย
ผล งานชิ้นโบแดงของพวกสลิ่มเฟซบุคในช่วงมหาอุทกภัย คือพวกเขาสามารถบ่อนทำลายเครดิตของ ศปภ.จนยอดเงินบริจาคตกต่ำน่าใจหาย กล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีใครบริจาคช่วยผู้ประสบภัยผ่าน ศปภ.อีก

แน่ นอนว่าด้านหนึ่ง ศปภ.ทำตัวเอง ด้วยการทำงานไม่เป็นระบบ ขาดประสิทธิภาพ มั่วรวมทั้งมีข้อกังขา (มีมูลเสียด้วย) เรื่องทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ แต่ข้อบกพร่องหรือความไม่โปร่งใสดังกล่าว ถ้ามีอยู่ 30% พวกสลิ่มก็ตีปี๊บให้เป็น 100% ถ้ามีอยู่ 60% ก็ตีปี๊บเป็น 200% และ สรุปกันเรียบร้อยก่อนจะรู้ข้อเท็จจริงด้วยซ้ำ อย่างเช่นคลิปที่อ้างว่า ศปภ.ทิ้งของบริจาคไว้เต็มดอนเมืองวันที่ 29 ตุลา พวกสลิ่มเชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์ ทั้งที่หลังเป็นข่าว นักข่าวหลายสำนักไปดู ก็พบว่า ศปภ.ขนของออกมาหมดแล้ว (ในคลิปมีของมูลนิธิไทยคมด้วย โห ใครจะกล้าเอาของมูลนิธิไทยคมไปทิ้ง)

เรื่อง ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ เท่าที่ได้ข้อมูลเป็นเรื่องจริง ซึ่งรัฐบาลต้องจัดการเด็ดขาด นิ้วไหนร้ายตัดนิ้วนั้นทิ้ง เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไม่เป็นธรรมกับคนของพรรคเพื่อไทยเอง หรือคนของรัฐบาล ที่ส่วนใหญ่ทำงานจริงจัง เหนื่อยยาก ทนถูกด่า แล้วยังต้องมาแบกหม้อก้นดำ ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

แต่ เรื่องถุงยังชีพที่จุดประเด็นขึ้นในเฟซบุค เกิดจากพวกฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด หาว่าถุงที่รวมของบริจาค เป็นถุงจัดซื้อราคา 800 บาท ต่อมา ศปภ.จึงชี้แจงว่ามีถุง 3 ราคา คือ 300,500,800 แล้วฝ่ายค้านก็จับพิรุธได้ว่าถุงราคา 800 น่าจะแพงเกินเหตุ (ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะร้านโชว์ห่วยที่ขายถุงยังชีพให้ ปภ. 4 หมื่นถุง 32 ล้านบาท คือร้านเดียวกับที่ขายให้รัฐบาลที่แล้ว 25 ล้านบาท เข้าตำราไก่เห็นตีนงู

กระนั้น เรื่องที่ตามหลังมาพวกสลิ่มไม่สนใจหรอก เพราะเชื่อกันตั้งแต่แรกแล้วว่า ศปภ.โกง เอาเงิน 800 มาซื้อถุงยังชีพราคาแค่ 2-300 ต่อให้ไม่มีการทุจริต พวกสลิ่มก็เชื่อว่าทุจริตอยู่ดี

ประเด็น คือ ถ้าพวกสลิ่มรณรงค์ให้คนบริจาคกับสภากาชาด หรือมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ หรือองค์กรอื่นๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่เท่าที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างนั้นสิครับ ส่วนใหญ่เป็นแค่พวกโรคจิตดิสเครดิต ศปภ.ได้ก็หัวร่อสะใจ โดยไอ้พวกนี้ไม่เคยควักสตางค์ช่วยผู้ประสบภัยซักบาท ขณะที่พวกเสื้อแดงซึ่งเมริงกล่าวหาเขา ยังแยกวงจาก ศปภ.มาจัดขบวนรถออกช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง

พวก สลิ่มใช้เฟซบุคเพื่อการจ้องจับผิดและทำลาย แม้กระทั่งโพสต์ภาพอาสาสมัคร ศปภ.เล่นเฟซบุค เขาชี้แจงก็ไม่ฟัง แต่ไปๆ มาๆ เจออาสามัคร มธ.เข้าเป็นไงล่ะ ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันลัก Dapper ประชาชน” (อ.ปริญญายังออกมาชี้แจงข้างๆ คูๆ แย่ยิ่งกว่า ศปภ.ชี้แจงเสียอีก)

ที่ พูดนี่ไม่ได้ว่าเสื้อเหลืองทั้งหมด เพราะพวกเสื้อเหลืองดีๆ มีจิตอาสาก็ไม่น้อยเหมือนกัน อย่างเช่นกลุ่ม สยามอาสานี่เหลืองจ๊าดๆ เลยนะครับ แต่เขาไม่ได้เอาสีเสื้อเข้ามาเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (เหมือนๆ มูลนิธิกระจกเงา ที่ช่วยภัยพิบัติแม้ในยุครัฐบาล ปชป.) เออเฮ้ย เหลืองแบบนี้สิน่าเคารพจิตใจ เป็นคนที่สามารถร่วมมือกันได้เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า

เวลา ประณาม สลิ่ม ยังต้องแยกออกจากคนที่เขาเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างบริสุทธิ์ใจ และยึดถือเป็นแบบอย่างในการทำความดี ตัวอย่างเช่น ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้เขียนหนังสือ ธรรมดีเพื่อพ่อนำทีมปั้น EM Ball ช่วย เหลือผู้ประสบภัย คุณดนัยมีพลังในการโน้มน้าวผู้คนให้ทำความดี โดยไม่แบ่งสีเลือกข้าง ดังนั้น คำว่า สลิ่ม ถ้าบัญญัติให้ชัดเจนก็คือพวกอ้างความ รักในหลวงมาสร้างความเกลียดชัง

คุณ Faris Yothasamuth บัญญัติ คุณลักษณะของสลิ่มไว้ครบถ้วน สะใจ สลิ่มคือพวกที่มีความรู้เฉพาะด้านตามมาตรฐานการศึกษาไทย แต่ไม่รู้จักใช้หัวคิด จบปริญญาโทปริญญาเอก กลับไปหลงงมงายศาสดาโกเตกซ์ ครั้นพอรู้ไส้ศาสดา (คือเพิ่งรู้ว่าตัวเองโง่) ก็ไม่กล้าใส่เสื้อเหลือง กระนั้นยังคงความเชื่อง่ายและใช้ความรักความเกลียดชี้นำ แบบว่าพอเกจินู้ดด่ายิ่งลักษณ์ เกจินู้ดก็เป็นฮีโร่ (ทั้งที่พวกนี้อ้างว่ามีศีลธรรม รุมประณามสาวเต้นเปลือยอก) เก่ง การุณ ถีบสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เก่งเป็นผู้ร้าย แต่พอมัลลิกา บุญมีตระกูล ถีบเก่งเข้าบ้าง มัลลิกาเป็นนางเอก กด like กันสนั่นหวั่นไหวใน You Tube

สลิ่ม เป็นพวกเชื่อง่าย ถ้าใจอยากเชื่อ ประทับใจง่าย ถูกหลอกง่าย เหมือนสาวกค่ายกรีนเวฟหัวกลวง หลงคำคร่ำครวญว่า กสทช.ยึด คลื่นเพื่อสังคม แต่เอาเข้าจริงก็เก่งแต่พูดฉอดๆ อยู่วงนอก เขาท้าไปออกทีวีประจัญหน้า เอาสัญญามาแฉกัน ก็ไม่กล้าไป

ฉัน ใดฉันนั้น เหมือนพวกเชื่อเว็บการกุศลช่วยน้ำท่วมด้วยจิตอาสา (แต่พอไม่ได้ดังใจก็ฟาดงวงฟาดงาด่าเสื้อแดง) หารู้ไม่ว่าทันทีที่คุณคลิกเข้าไปดูข่าว เขาก็เชื่อมลิงก์เข้าเว็บแม่ ได้เรตติ้งเพิ่มค่าโฆษณา (รอบหน้าคงขายเว็บได้อีกหลายร้อยล้าน) ใครว่าการกุศลไม่ได้ผลประโยชน์ ธุรกิจสมัยใหม่ต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างภาพ เพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง รับเงิน สสส.มาทำงานเพื่อสังคม เพียงแต่บางครั้งก็ผิดพลาดบ้าง โปรดอภัย (เช่น ใช้ถ้อยคำอนาจารหลอกล่อ ดักควายเข้าไปดูเว็บตัวเอง แล้วอ้างว่าเป็นฝีมือนักศึกษาฝึกงาน คริคริ)

นี่ แหละคือสลิ่ม ซึ่งดูถูกชาวบ้านเสื้อแดง ว่าถูกแกนนำหลอกใช้ แต่ตัวเองถูกจูงจมูกง่ายยิ่งกว่าชาวบ้านผู้ไร้การศึกษา แล้วยังมีหน้ามาเรียกร้องว่าควรให้ผู้จบปริญญาตรีเท่านั้นมีสิทธิเลือกตั้ง

สลิ่ม มีความสามารถในการบ่อนทำลาย แต่ไม่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ มีความสามารถในการปลุกความเกลียดชัง แต่ไม่สามารถนำเสนอสิ่งที่ดีกว่า นั่นคือสาเหตุ ที่ทำให้พวกเขาได้แต่ทำลายคนอื่นและทำลายตัวเอง สื่อสลิ่มปลุกคนให้บ้า โดยไม่สามารถหาทางออก สุดท้ายคนอ่านก็กลายเป็นพวกโรคจิต มีแต่ความไม่พึงพอใจสังคมที่ดำรงอยู่ แต่ไม่รู้จะทำให้ดีขึ้นอย่างไร

เหมือน การต่อต้าน ระบอบทักษิณโดยหันไปพึงรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ พอรัฐประหารล้มเหลว ก็ฝากความหวังกับ ระบอบแมลงสาบพอแมลงสาบล้มเหลว ก็พยายามวาดภาพฝัน ยึดเอา ระบอบรักในหลวงเป็นที่พึ่ง ซึ่งไม่ทราบว่าจะเอาอย่างไรแน่ ไม่มีความชัดเจน ไม่มีทิศทาง ไม่รู้ว่าจะนำพาประเทศไปอย่างไร

มีไหม พลังที่มีเหตุผล
สลิ่ม เฟซบุคส่วนใหญ่ เป็นผลิตผลของระบบการศึกษาไทยยุคหลัง 2520 ซึ่งเน้นผลิตบุคลากรมารับใช้ความเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยถูกตัดขาดจากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สังคม และประวัติศาสตร์การต่อสู้ประชาธิปไตยตั้งแต่ 2475 ถึง 6 ตุลา 2519 คนพวกนี้ถูกเสี้ยมสอนให้เป็นเครื่องจักรที่ดีของสังคม รู้จักเข้าคิว อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ยึดมั่นในพระบรมราโชวาท ไม่เหมือนคนยุคแสวงหา ยุคซิกซ์ตี้ ที่มักจะมีวิญญาณกบฎ

ใน ทางวัฒนธรรรมพวกนี้ก็เติบโตมากับหนังแอคชั่นของอาร์โนลด์ ชวาเซนเนกเกอร์, ซิลเวสเตอร์ สตาลโลน หนังมหาลัยวัยหวานของศุภักษร หรือมีเทสต์ขึ้นมาหน่อยก็ละครตลกของซูโม่สำอาง (มีเทสต์จนดูถูกคนไร้การศึกษา)

พอ โตมาอย่างสมองกลวง จึงไม่น่าประหลาดใจที่คนจบปริญญาโทปริญญาเอก ไปหลงงมงายศาสดาโกเตกซ์ ต่อให้ไม่เกิดพันธมิตร พวกนี้ก็จะแสวงหาศาสดาต่างๆ เป็นที่พึ่ง ทั้งไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์ ลัทธิประหลาด ลัทธิจานบิน แสงทิพย์โยเร ฯลฯ บางทีก็ดูเหมือนจะยึดถือศาสดาที่ดี คำสอนมีเหตุผล เช่นไปนั่งสมาธิสายหลวงพ่อชา หรืออ่านหนังสือพุทธทาส แต่เอาเข้าจริงก็เข้าไม่ถึง บางคนมีหนังสือพระเต็มตู้แต่ก็ตะกายอยู่กับโมหะ ไม่ได้อ่านหนังสือพระเพื่อ ปล่อยวาง แต่อ่านหนังสือพระเพื่อเสริมความหลงผิดคิดว่าตัวเองดีวิเศษกว่าคนอื่น

ดู ง่ายๆ พวกที่ไปปฏิบัติธรรมตามสำนักสงฆ์ต่างๆ ล้วนแต่เป็นคนมีปัญหาทั้งนั้น คนไม่มีปัญหาชีวิตเขาไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมกันหรอก เพราะเขาสามารถประสานฆราวาสธรรมให้เข้ากับการดำรงชีวิตตามปกติอยู่แล้ว

คน ที่ควรตำหนิมากกว่าสลิ่มผู้น่าสงสารคือพวกเสแสร้งเป็นสลิ่ม แต่มีอิทธิพลชักนำสลิ่ม ซึ่งก็คือพวกที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยสมัย 14 ตุลามาจนถึงพฤษภา 35 บางคนก็เข้าป่า ออกป่า มามีบทบาทในภาคประชาสังคม ในแวดวงธุรกิจ วิชาการ ในสื่อ และในทางศิลปวัฒนธรรม

คนพวกนี้ (อย่างที่สมศักดิ์กล่าวถึง) ไม่ได้เป็นสลิ่มโดยธรรมชาติ แต่เสแสร้งเป็นสลิ่ม อย่างมี Agenda คือรู้ทั้งรู้ว่าหาทางออกไม่ได้แต่ก็ชักนำพลังสลิ่มไปใช้เพื่อทำลาย

หลัง เลือกตั้ง เวลาเจออดีตเพื่อนพ้องน้องพี่เหล่านี้ ผมบอกเสมอว่ารัฐบาลเพื่อไทย (ที่ผมเลือกเนี่ย) มันแย่ มันไปไม่รอดหรอกนะ มันไม่สามารถนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ตามที่เราต้องการ แต่ปัญหาคือถ้าคุณไล่รัฐบาลแล้วจะนำไปสู่อะไร รัฐประหารก็ไม่มีใครเขาเอาแล้ว แมลงสาบก็ไม่มีใครเขาเอาแล้ว รัฐบาลพระราชทานก็ไม่ใช่คำตอบ ถ้าพวกคุณไม่มีทางออกให้สังคม ผมก็ต้องสนับสนุนระบอบที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชนไว้ก่อน

สิ่ง ที่ผมอยากเห็นคือ มีไหม พลังของคนชั้นกลางที่มีสติ มีเหตุผล ที่จะมาตรวจสอบ ถ่วงดุล คานอำนาจรัฐบาลชุดนี้ โดยไปให้พ้นจากความบ้าคลั่ง ไร้สติ ไปให้พ้นจากพันธนาการเดิมๆ ของพันธมิตร ไม่หวนหารัฐประหาร ไม่ผูกติดกับผลพวงรัฐประหาร ตุลาการภิวัตน์ ไม่อ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาขัดขวางพัฒนาการประชาธิปไตย และไม่ผูกตัวเองไว้กับพรรคการเมืองที่เก่งแต่ให้ร้ายป้ายสี

ถ้า สร้างพลังอย่างนี้ไม่ได้ รัฐบาลห่วยๆ ก็จะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะพลังที่คัดค้านต่อต้าน ไร้สติเสียยิ่งกว่า และมุ่งแต่จะหาทางโค่นล้มอำนาจอธิปไตยของปวงชน ไม่ใช่แค่ล้มรัฐบาล

น้ำ ท่วมครั้งนี้พูดได้เต็มปากว่ารัฐบาลทำงานด้อยประสิทธิภาพ แถมยังมีเรื่องฉาวโฉ่ถุงยังชีพ ถ้าฝ่ายตรงข้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างมีเหตุผล ว่าตามเนื้อผ้า ไม่ใช้วิธีการของแมลงสาบและสลิ่ม รัฐบาลแย่แน่ครับ แต่พวกเมริงนั่นแหละ หารู้ไม่ว่าช่วยอุ้มรัฐบาลด้านกลับ เดี๋ยวก็ด่าผู้หญิงเหนือ เดี๋ยวก็วิจารณ์การใช้ภาษาอังกฤษ เดี๋ยวก็หาว่าบีบน้ำตาแสดงความอ่อนแอ ให้ร้ายป้ายสีกันให้เว่อร์เข้าไว้ พวกเสื้อแดงปทุม อยุธยา นนทบุรี โดนน้ำท่วมมิดหัวเพราะความไม่เอาไหนของรัฐบาลที่ตัวเองเลือกมา จึงต้องชูนิ้วกลางให้สลิ่มและแมลงสาบไว้ก่อน

พลัง ของชนชั้นกลางตอนเริ่มต้นไล่ทักษิณเมื่อ 5 ปีก่อน แม้จะเป็นกระแสอารมณ์แต่ก็ยังอยู่ในวิถีประชาธิปไตยที่มีเหตุผล จนมาเป๋เมื่อขอ ม.7 และออกบัตรเชิญรัฐประหาร จำได้ไหมว่าเลือกตั้ง 2 เมษา คะแนน Vote No รวมบัตรเสีย สูงถึง 13 ล้าน ไม่ใช่แค่คะแนน ปชป.หรือพรรคชาติไทยด้วย เพราะหลายจังหวัดในภาคเหนือภาคอีสาน Vote No ชนะ

แต่ 5 ปีผ่านไปพลังของชนชั้นกลางทำลายตัวเอง ไม่ใช่แค่ปีกที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแตกออกมาเป็น สองไม่เอา (ซึ่งสุดท้ายก็ถูกผลักเป็นเสื้อแดงอยู่ดี) แต่พวกเสื้อเหลืองและสลิ่มก็แตกคอกันเอง กลายเป็นโรคจิต 500 จำพวก แม้แต่พรรคการเมืองใหม่ก็ยังแตกคอกับพันธมิตร คนบางส่วนอาจแตกไปเพราะผลประโยชน์ แต่หลักๆ เป็นเพราะความคิดสับสน ไร้แนวทาง กระทั่ง การเมืองใหม่ภาพสังคมในอุดมการณ์ ก็ยังไม่สามารถอธิบายให้เห็นภาพได้ว่ามันคืออะไร จะไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร

คน นอกอาจจะแปลกใจที่เห็นสมศักดิ์ โกศัยสุข แตกคอกับพันธมิตร แล้วเล่นกันแรงถึงขั้นฟ้องร้องยะใส แต่ผมไม่แปลกใจ พคท.ตอนขัดแย้งกันรุนแรงใกล้ป่าแตกก็เป็นอย่างนี้ หลายๆ เขตถึงขั้นจะยิงกัน จะฆ่ากัน (ทางใต้บางเขตได้ข่าวว่าฆ่ากันจริงๆ) ทั้งที่เป็นมิตรร่วมรบ ร่วมเป็นร่วมตายทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน

แต่คนที่คลั่งอุดมการณ์เวลาขัดแย้งก็จะเห็นกันเป็นศัตรูได้ถึงเพียงนั้น เหมาเจ๋อตุงถึงได้ฆ่าหลิวเซ่าฉี สตาลินถึงส่งคนตามฆ่าทรอตสกี้

ที่ พูดนี่เพราะผมตั้งข้อสังเกตว่าพวก ซ้ายเก่า ทั้งในเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยังติดเชื้อพิษจากพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต (แบบว่าแกนนำเสื้อแดงบางคนก็พยายามเอารูปการจัดตั้งเข้ามายัดเยียดให้ นปช.ใครไม่เห็นด้วยก็ด่าเขา แต่เอาไว้วันหลังค่อยพูดอีกที เดี๋ยวจะนอกเรื่องไป)

ผม ไม่ได้บอกว่าพลังเสื้อแดง พลังคนชั้นล่างหรือคนชั้นกลางชนบท เป็นพลังประชาธิปไตยที่งามพร้อมสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีทิศทางที่ก้าวไปข้างหน้า ขณะที่พลังของชนชั้นกลางกลับถอยหลัง

ใครจะมองไปข้างหน้าก่อนกัน
สิ่ง ที่ชนชั้นกลางสลิ่มพึงสังวรณ์คือมันมีเค้าลางปรากฏการณ์ที่ชนชั้นนำฝ่าย อำมาตย์ อาจเกี้ยเซี้ยกับชนชั้นนำฝ่ายทักษิณ หาทางอยู่ร่วมกันโดยแบ่งปันอำนาจระหว่างสองฝ่าย

ถ้า มันเกิดขึ้นจริง กระบวนการ เกี้ยเซี้ย จะทำให้รัฐบาลลดเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปประชาธิปไตย ไม่แตะต้องกองทัพ ไม่แตะต้องอะไรหลายๆ เรื่อง (เป็นสันดานนักการเมืองอยู่แล้วที่ต้องการแค่อำนาจ) แลกกับการให้ทักษิณกลับบ้าน (แลกแม้กระทั่งยอมให้อากง SMS ติดคุก 20 ปี)

ถึง กระนั้นพวกสลิ่มก็ยังคงออกมาต่อต้านแค่ตัวบุคคล ยึดติดกับทักษิณ ยึดติดกับความเกลียดชัง ขณะที่พลังฝ่ายประชาธิปไตย พลังเสื้อแดงส่วนที่เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ พร้อมจะ ก้าวข้ามทักษิณไปสู่เนื้อหาที่แท้จริง (ถ้าเขาเกี้ยเซี้ยกันจริง ก็จะเป็นจุดตัดระหว่างเสื้อแดงประชาธิปไตยกับเสื้อแดงที่ผูกติดทักษิณ)

สมมติ นะครับ สมมติว่าเขาเกี้ยเซี้ยกันจริง ก็ประชาชนนั่นแหละที่ผิดหวังทั้งสองฝ่าย แต่คุณจะแปรความผิดหวังให้เป็นพลังที่พัฒนาไปข้างหน้าอย่างไร หรือเป็นแค่พลังที่โวยวาย ไม่เอา ไม่ยอม เรียกหารัฐประหาร ทหารก็ไม่เล่นด้วยแล้ว เรียกหาอำมาตย์ อำมาตย์ก็รู้แล้วว่ามีแต่เปลืองตัว สุดท้าย สลิ่มก็ได้แต่คลั่งอยู่ในกะลา

ภาระหน้าที่ของชนชั้นกลางมันควรจะก้าวหน้ากว่านั้น ภาระหน้าที่ของนักเคลื่อนไหว NGO นัก วิชาการ นักคิด อธิการบดี ศิลปินแห่งชาติ ศาสตราจารย์เสื้อกั๊ก ที่มีเกียรติคุณเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมา 40 ปี ควรจะมีสติปัญญาหาทางออกให้สังคมไทย มากกว่าการยึดติด ระบอบรักในหลวง

อะไร คือการพัฒนาประชาธิปไตยไปข้างหน้า ถ้าต้องการให้ก้าวข้าม ระบอบทักษิณ ถึงวันนี้ ระบอบทักษิณไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก มันพร้อมจะล้มทุกเมื่อ ขอเพียงมี โมเดลที่ชัดเจนมาแทนที่

ใน ทัศนะผม มันหมดยุคแล้วที่จะคิดเรื่อง ยึดอำนาจรัฐ ไม่ว่าอำนาจรัฐเป็นของทักษิณ เป็นของแมลงสาบ เป็นของอำมาตย์ เป็นของทหาร ล้วนไม่ใช่คำตอบสำหรับประชาชน

เรา จะต้องสร้างโมเดลของการ ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน แต่เป็นโมเดลที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่ใช่พูดเจื้อยแจ้วแล้วลงท้ายต่อต้านนักการเมืองจากการเลือกตั้ง อย่างหมอประเวศ วะสี การลดอำนาจรัฐไม่ใช่แค่ลดอำนาจนักการเมือง แต่ยังต้องลดอำนาจระบบราชการ ลดอำนาจทหาร ตำรวจ อัยการ ลดอำนาจศาล องค์กรอิสระ ลดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้เป็นอำนาจที่ตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้ และมีอำนาจโดยจำกัด ใช้อำนาจแล้วต้องรับผิดชอบ

คุณ กล้าสร้างโมเดลนี้ไหมล่ะ ลดศูนย์กลางอำนาจรัฐให้เล็ก กระจายอำนาจให้ประชาชนจริงๆ (ไม่ใช่หลอกให้เข้าชื่อ 1 หมื่นชื่อโดยไร้ความหมาย) กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สู่การปกครองขนาดเล็ก ยกเลิกผู้ว่าฯแบบเก่า เลือกตั้งผู้ว่าฯแบบใหม่ ชำแหละระบบราชการ แยกส่วน ปฏิรูปใหม่หมด ให้ยึดโยงกับประชาชน กระจายอำนาจสู่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ตรวจสอบกันได้ตั้งแต่ล่างถึงบน ไม่ใช่รวมศูนย์อำนาจ รวมศูนย์การใช้ดุลพินิจ อยู่ที่ปลัดพันล้าน ปฏิรูปฐานความคิด ความเชื่อเรื่องบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ค่านิยมเชิงพิธีกรรม หัวโขน อนุรักษ์นิยม ซึ่งทำให้คนกลัวหงอไม่กล้าต่อต้านคอรัปชั่น ฯลฯ

ผม ไม่ได้เป็นนักคิดนักวิชาการ ศาสตราจารย์ ผู้มากความสามารถ เป็นแค่คอลัมนิสต์ ก็คิดได้แค่นี้ แต่ขอฝากคำท้าทาย ถึงชนชั้นกลางทางวัฒนธรรมทั้งหลาย ว่าพวกคุณมีความสามารถที่จะคิดสร้างสรรค์ คิดไปข้างหน้าได้ไหม หรืออย่างน้อยก็คิดร่วมกัน ไม่ใช่เราคิดแล้วพวกคุณเอาแต่ต่อต้าน โดยอ้างทักษิณ

ถ้า คิดไม่ได้ก็ยุติบทบาทตัวเองไปเสียเถอะ เพราะไอ้ที่ทำๆ กันอยู่ อย่างเช่นการเข้าชื่อของอาจารย์มหาลัย ทุกวันนี้ไม่มีใครยอมรับแล้วว่าอาจารย์มหาลัยรู้ทุกเรื่อง รู้ดีกว่าชาวบ้าน ถ้าพูดอะไรไม่มีเหตุผล ไม่มีตรรก ไม่มีหลักการ อาจารย์เข้าชื่อกัน 100 คนก็ไม่ต่างจากแม่ค้าท่าพระจันทร์เข้าชื่อกัน 100 คน เผลอๆ แม่ค้า 100 คนยังมีประโยชน์กว่าอาจารย์สลิ่ม 100 คนด้วยซ้ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น